วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555
เซลล์ชรา
วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2555
วิตามินเพื่อบำรุงสมอง vitamins for the brain
วิตามินบี 1
วิตามินบี 2
วิตามินบี 6
วิตามินบี 12
Inositol and Choline
เลซิทิน ( Lecithin )
โพแทสเซียม (Potassium)
กำมะถัน (Sulfur)
สังกะสี ( Zinc)
นอกจากนี้ยังมีเทคนิคการกินอาหารเพื่อเพิ่มพลังสมอง ดังนี้
วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555
ชี่กง ฝึกลมหายใจ บำบัดโรค
การออกกำลังกายด้วยการฝึกชี่กงไม่ได้เน้นเรื่องความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เป็นหลัก เพราะคนแข็งแรงไม่จำเป็นต้องกล้ามใหญ่ แต่ต้องมีความว่องไว และความทนทานของร่างกาย อย่างไรก็ตาม ชี่กงไม่ใช่สูตรสำร็จ จึงควรออกกำลังกายอย่างอื่นควบคู่ไปด้วย เช่น จ๊อกกิ้ง ไทเก๊ก หรือรำตะบอง
ผลของชี่กง
• ผลของจิตใจ ที่สงบสบาย ย่อมทำให้ร่างกายสมดุล เจ็บไข้ได้ยาก ที่ป่วยก็หายเร็วขึ้น
• ผลของสมาธิ สมาธิที่เกิดระหว่างการฝึกจะทำให้สมองปลอดโปร่ง ลดการทำงานของหัวใจ ความดันเลือดลดลง เนื่องจากการขยายของหลอดเลือดฝอย ย่อมผ่นระบบประสาทอัตโนมัติ
• ผลของภูมิคุ้มกัน ภูมิคุ้มกันที่ทำงานสมดุล พบว่าการฝึกตนเองจะทำให้มีการเพิ่มของเม็ดเลือดขาว ผู้ที่แพ้อากาศมักมีอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว
• ผลต่อระบบโฮร์โมน ทำให้ระบบฮอร์โมนเกิดความสมดุล ตั้งแต่ต่อมใต้สมองไปจนถึงต่อมหมวกไต
• ผลของการออกกำลังกาย การออกกำลังกายพร้อมกันทั้งกายใจ ทำให้กระดูกและกล้ามเนื้อแข็งแรง
กระบวนท่าในการฝึกชี่กง
• ท่าที่ 1ปรับลมปราณ
วางเท้าแยกกันด้วยความกว้างเสมอไหล่ ปลายเท้าชี้ตรงไปข้างหน้า ปล่อยแขนทั้งสองข้างวางข้างลำตัว ค่อยๆหงายฝ่ามือแล้วยกขึ้น ผ่านทรวงอกถึงระดับคาง หายใจเข้าช้าๆแล้วควำฝ่ามือ ลดลงจนถึงระดับเอว ย่อเข่า จังหวะนี้หายใจออกช้าๆ
• ท่าที่ 2 ยืดอกขยายทรวง
จากท่าที่ 1 ซึ่งยังคงย่อเข่า ค่อยๆยกมือขึ้น และเคลื่อนมาช้าๆมาด้านหน้าจนถึงระดับอก จึงค่อยๆกางแขนออกไปจนสุดแขน หายใจเข้าช้าๆ ค่อยๆดึงมือกลับมาในทิศทางเดิม ลดฝ่ามือลงแนบข้างลำตัว ย่อเข่าจังหวะนี้หายใจออกช้าๆ
• ท่าที่ 3 อินทรีทะยานฟ้า
จากท่าที่ 2 กางแขนออกทางด้านข้าง เหยียดขาตรง ยกแขนขึ้นเหนือศีรษะ หายใจเข้า ลดแขนลงข้างลำตัว หายใจออก
• ท่าที่ 4 ลมปราณซ่านกายา
จากท่าที่ 3 ตวัดช้อนข้อมือจากด้านข้างเข้าหาตัว เสมือนเอาพลังจากธรรมชาติเข้ามาในร่างกาย หงายฝ่ามือยกขึ้นจนถึงระดับคาง แล้วคว่ำฝ่ามือลง ลดฝ่ามือ จนถึงระดับเอว ย่อเข่า(หากเป็นท่าจบ เมื่อลดฝ่ามือลงให้แขนแนบลำตัวไม่ต้องย่อเข่า) การวางจิตใจ ให้วางไว้ที่ฝ่ามือและฝ่าเท้าทั้งสองข้าง
มะเร็งตับอ่อน
โรคมะเร็งตับอ่อน โรคที่คร่าชีวิต Steve Jobs
มะเร็งตับอ่อนคือเนื้องอกร้ายซึ่งเกิดขึ้นจากเซลล์ของตับอ่อน ชนิดที่พบบ่อยที่สุดคืออะดีโนคาร์ซิโนมาซึ่งเจริญมาจากเซลล์ส่วนที่เป็นต่อมมีท่อ (ต่อม exocrine) ของตับอ่อน อีกส่วนหนึ่งเป็นมะเร็งที่เจริญมาจากเซลล์ไอสเล็ท และจัดเป็นเนื้องอกแบบนิวโรเอนโดไครน์ อาการของมะเร็งตับอ่อนขึ้นกับตำแหน่ง ขนาด และชนิดของเนื้องอก ซึ่งอาจทำให้มีอาการปวดท้อง หรือดีซ่านได้
สาเหตุของโรคมะเร็งตับอ่อน?
ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุของโรคมะเร็งตับอ่อน แต่พบปัจจัยเสี่ยง ได้แก่-
อายุ ดังกล่าวแล้วว่า เป็นโรคของผู้ใหญ่ โดยทั่วไป อายุตั้งแต่ 40 ปี ขึ้นไป
- เชื้อชาติ พบโรคได้สูงในคนอเมริกันผิวดำ เมื่อเปรียบเทียบกับคนผิวขาว
- พันธุกรรมชนิดที่ส่งผลให้มีเนื้องอก และ/หรือมะเร็งได้หลายชนิดเกิด ขึ้นพร้อมๆกัน
- โรคตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง
- โรคเบาหวาน
- ที่อาจจะเป็นปัจจัยเสี่ยงได้ แต่การศึกษายังมีข้อโต้แย้ง คือ ขาดสมดุลของสารอาหารบางชนิด เช่น วิตามิน และเกลือแร่ต่างๆ การสูบบุหรี่ การดื่มสุรา โรคอ้วน และขาดการออกกำลังกาย
อาการแรกเริ่ม
มะเร็งตับอ่อนเป็นมะเร็งที่มักไม่ปรากฎอาการใน ระยะแรกๆ บางครั้งจึงถูกเรียกว่าเพชฌฆาตเงียบ (silent killer) และแม้ปรากฏอาการก็มักเป็นอาการที่ไม่มีความจำเพาะเจาะจง ดังนั้นบ่อยครั้งจึงวินิจฉัยไม่ได้จนกว่าโรคจะลุกลามไปมาก อาการที่พบบ่อยได้แก่- ปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ ซึ่งอาจร้าวทะลุหลัง (พบในกรณีมะเร็งอยู่ที่ส่วนตัวหรือส่วนหางของตับอ่อน)
- เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
- น้ำหนักลด
- ดีซ่าน ตัวตาเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม พบในกรณีมะเร็งอยู่ที่หัวของตับอ่อน (60%) และทำให้ท่อน้ำดีร่วม (common bile duct) ช่วงที่ผ่านตับอ่อนเกิดตันขึ้น นอกจากนี้ยังอาจทำให้มีอุจจาระสีซีดหรืออุจจาระเป็นมัน อาจมีอาการคันจากดีซ่านได้
- อาการแสดงทรุสโซ (Trousseau sign)
- เบาหวานหรือระดับน้ำตาลในเลือดสูงเนื่อง จากตับอ่อนทำงานผิดปกติ ผู้ป่วยมะเร็งตับอ่อนหลายคนเกิดมีเบาหวานขึ้นหลายเดือนหรือหลายปีก่อนตรวจพบ มะเร็ง ผู้สูงอายุที่ตรวจพบว่าเพิ่งมีเบาหวานขึ้นใหม่อาจเป็นอาการแสดงแรกเริ่มของ มะเร็งตับอ่อน
- พบโรคซึมเศร้าร่วมกับมะเร็งตับอ่อนได้บ่อยครั้ง บางครั้งมีก่อนตรวจพบมะเร็งตับอ่อน แม้ยังไม่ทราบความสัมพันธ์แน่ชัด
- อาการของมะเร็งที่แพร่กระจาย ส่วนใหญ่มะเร็งตับอ่อนจะแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียง จากนั้นจึงแพร่กระจายไปยังตับ และอาจไปที่ปอดได้ บางครั้งอาจไปที่กระดูกหรือสมองก็ได้
การป้องกัน
ปัจจุบัน ยังไม่มีวิธีป้องกันโรคมะเร็งตับอ่อน ดังนั้นที่ดีที่สุดในขณะนี้ คือ การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆดังได้กล่าวแล้วที่หลีกเลี่ยงได้- ไม่สูบบุหรี่
- ระวังอย่าให้น้ำหนักเกิน หรืออ้วน > ถ้าอ้วนควรออกแรง-ออกกำลังเป็นประจำ เพื่อให้เป็นคนอ้วนฟิต (แข็งแรง) ให้ได้
- ออกแรง-ออกกำลังเป็นประจำ เริ่มจากการเดินสลับเดินเร็ว (100 ก้าว/นาที; หรือ 25 ก้าว/15 วินาที; หรือเดินจนพูดได้ 2-5 คำก็เหนื่อย) + ขึ้นลงบันได รวมเวลากันให้ได้ 30 นาทีวัน + 5 วัน/สัปดาห์ขึ้นไป
- ตับ อ่อนอักเสบเรื้อรังเพิ่มเสี่ยง ป้องกันโดยการไม่ดื่มแอลกอฮอล์ (เหล้า เบียร์ ไวน์ ฯลฯ) และลดไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือด (ถ้าตรวจพบว่าสูง)
- กินผัก ผลไม้ทั้งผล (หรือน้ำผลไม้ปั่นรวมกาก ไม่ใช่แยกกาก หรือกรองกาก) ให้มากพอเป็นประจำ
- กินธัญพืชไม่ขัดสี โดยเปลี่ยนข้าวขาวเป็นข้าวกล้อง ขนมปังขาวเป็นขนมปังโฮลวีท (เติมรำ) อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง หรือวันละ 1 มื้อ
- ลดอาหารไขมันสูง โดยเฉพาะไขมันสัตว์ เช่น น้ำมันหมู เนื้อสำเร็จรูป (ส่วนใหญ่จะปนไขมันไปด้วย เช่น ไส้กรอก ฯลฯ) และไขมันอิ่มตัว เช่น กะทิ น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม ฯลฯ
- ลดเนื้อสำเร็จรูป เช่น ไส้กรอก แฮม เบคอน หมูยอ หมูหยอง หมูแผ่น ฯลฯ
4 อย่างที่ควรหลีกเลี่ยงในการออกกำลังกาย
1. ออกกำลังกายแต่ในยิม เนื่องจากการออกกำลังกายต้องการอากาศที่บริสุทธิ์ ในโรงยิมที่ปิด หากมีการระบายอากาศที่ดีก็ดีไป แต่หากโรงยิมหรือในที่ร่มที่ไหนจัดการเรื่องระบายอากาศไม่ดี ก็เสี่ยงต่อเชื่อโรคจากเหงื่อไคลของใครต่อใคร ฟุ้งกระจายในอากาศ ทางที่ดีควรเปลี่ยนไปออกกำลังกายกลางแจ้งบ้าง รับแดด รับลมที่บริสุทธิ์ สวนสาธารณะใกล้ๆบ้าน ก็เป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่ง
2. เอาแต่ออกกำลังกายหน้ากระจก คนที่ชอบออกกำลังกายหน้ากระจก จะมีข้อเสียคือจะมัวแต่พะวังถึงท่าทางตัวเองตอนออกกำลังกาย จะทำให้ออกกำลังกายได้อย่างไม่เต็มที่
3. หักโหมออกกำลังอย่างหนัก แม้ว่าจะต้องการเห็นผลของการ ออกกำลังกายอย่างรวดเร็ว แต่การที่หักโหมออกกำลังกายอย่างหนักนั้น นอกจากอาจจะทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อร่างกายแล้ว ยังทำให้ร่างกายอ่อนแรง และจะทำให้ขี้เกียจ และเลิกล้มในการออกกำลังกายในวันต่อไป
4. มัวพะวงแต่กับตาชั่ง โอเคว่าตาชั่งเป็นตัววัดผลตัว หนึ่งของการออกกำลังกายของเราได้ แต่หากมัวแต่พะวงกับมันชั่งเช้า ชั่งเย็น ก็อาจจะทำให้เราเกิดการท้อแท้ ท้อใจได้ เอาเป็นว่านานๆดูครั้งก็พอ ไม่ต้องไปพะวงกับมันมาก
การออกกำลังกายมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ควรที่จะทำอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ ยังไงก็เป็นกำลังใจให้กับทุกท่านที่จะต้องการดุแลสุขภาพ และ ตั้งใจชะลอความแก่ แล้วเป็นหนุ่มสาวด้วยกันนานๆนะครับ
วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555
กิจกรรม ลดความเครียด
1. การนั่งสมาธิ วิธีนี้ก็ทำง่ายๆคือทำจิตใจให้สงบ โดยพยายามไม่คิดถึงเรื่องต่างๆ โดยอาจกำหนดลมหายใจเข้าออกอย่างช้า โดยกำหนดสมาธิที่ลมหายใจ วิธีนี้นอกจากจะไม่ทำให้ฟุ้งซ่าน หรือความคิดล่องลอยไปในเรื่องต่างๆแล้ว ยังเป็นการทำให้ร่างกายได้รับการผ่อนคลายเนื่องจากเมื่อเรากำหนดสมาธิที่ลม หายใจแล้วจะทำให้สามารถหายใจได้ทั่วท้อง ร่างกายจะได้รับออกซิเจนได้อย่างเต็มที่ เมื่อสมองได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอทำให้ลดอาการปวดหัว และการตึงเครียดของร่างกาย
2.ออกกำลังกาย การออกกำลังกายมีประโยชน์มากมาย ช่วยคลายความเครียดเนื่องจากเมื่อเราออกกำลังกายสมองจะมีการหลั่งสารเอนโดร ฟีน หรือสารแห่งความสุขนั่นเอง โดยการออกกำลังกายก็สามารถทำได้ง่ายๆ ตามบทความเรื่องการออกกำลังกายที่เคยกล่าวมา
3.อโรมาเธอราพี อโรมาเธอราพีคือการบำบัดโดยใช้อโรมาหรือน้ำมันหอมระเหยต่างๆ สามารถใช้กลิ่นใดก็ได้ที่คุณชอบเช่น เปเปอร์มิ้น ยูคาลิปตัส ตะไคร้หอม เลม่อน โดยอาจใช้วิธีนำมาทาบริเวณขมับหรือหน้าผาก ไม่ก็ใช้วิธีจุดน้ำมันหอมระเหยแล้วสูดดมก็ได้ โดยอาจใช้วิธีกำหนดลมหายใจโดยการทำสมาธิไปด้วย
4.การนวดกดจุดต่างๆ วดจุดต่างๆ เมื่อมีอาการเครียด จะเกิดความตึงที่บริเวณคอไหล่ และกล้ามเนื้อหลังส่วนบน วิธีแก้ด้วยการหาจุดที่คุณปวดที่สุด ตามแผ่นหลังและข้างลำคอ ไล่นิ้วไปตามส่วนบน ของไหล่ตรงที่เชื่อมต่อลำคอ และบริเวณแผ่นหลังส่วนบ ที่ต่ำกว่าไหล่ลงไป ใช้ปลาย นิ้วสองนิ้วกดแน่นๆ 8-10 วินาที แล้วค่อยๆคลายออก นวดบริเวณนั้นเป็นรูปวงกลม ถ้าจะทำให้ผ่อนคลายมากขึ้น นวดด้วยปาล์มสมุนไพร หรือน้ำมันอโรมาเธอราพีก็ยิ่งดี วิธีนี้ถ้าทำทุกวันนอกจากจะช่วยให้ผ่อนคลายแล้ว ยังป้องกันไม่ให้ปวดศีรษะได้ด้วย
5.การท่องเที่ยว ไปเที่ยวในสถานที่ธรรมชาติ รับอากาศบริสุทธิ์ เช่น น้ำตก ภูเขา ทะเล การสัมผัสกับธรรมชาติทำให้ร่างกายสดชื่นกระปี้กระเปร่า
6.ทำงานอดิเรกที่สนใจ จะทำให้รู้สึกเพลิดเพลิน สนุก มีความสุข ลืมความเครียดที่มีอยู่ไปขณะหนึ่ง เต้นรำ ฟังเพลง
7.พักผ่อนให้เพียงพอ คนที่เครียดมักจะมีอาการนอนไม่หลับ หลับยาก หรือหลับแล้วตื่นกลางดึก ฝันร้าย ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย การที่จะทำให้นอนหลับในตอนกลางคืนได้นั้น สิ่งสำคัญคือ ควรหลีกเลี่ยงการนอนกลางวัน และอย่ากังวลว่าจะนอนไม่หลับ เข้านอนเป็นเวลา และหากยังไม่ง่วงก็ให้หากิจกรรมบางอย่างทำไปก่อน เช่น อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ฟังวิทยุ
การมองโลกในแง่ดีก็ทำให้เราไม่เครียดเช่นกัน คิดบวกเข้าไว้ หัวเราะมากๆ จะช่วยป้องกันไม่เราเครียดง่าย ทำให้สุขภาพจิตดีซึ่งส่งผลให้สุขภาพร่างกายดีไปด้วย ชะลอความแก่ ทำให้เป็นหนุ่มสาวได้นานๆ
วันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2555
ดื่นนม แล้วดี
ทำไมคนถึงไม่ชอบดื่มนม
วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2555
เส้นลมปราณหลัก 12 เส้น
หนังสือคัมภีร์แพทย์แผนจีนเล่มแรกชื่อ “หวงตี้เน่ยจิง” เขียนขึ้นสมัยชุนชิว (770 -476 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ประมาณเกือบ 2,500 ปีก่อน คัมภีร์เล่มนี้เกิดจากการรวบรวมประสบการณ์ทางการแพทย์ ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงสมัยชุนชิว ซึ่งนับว่าเป็นคัมภีร์ที่รวบรวมเอาประสบการณ์ในการปฏิบัติทางการแพทย์อันยาว นานของชนชาติจีน
เนื้อหาของคัมภีร์ “หวงตี้เน่ยจิง” แบ่งเป็น 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ ตำรา “ซู่เวิ่น” และตำรา “หลิวซู”
ตำรา “หลิวซู” มีเนื้อหาสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของเส้นลมปราณตั้งแต่ทฤษฎี เส้นทางเดิน จุดฝังเข็ม การตรวจวินิจฉัย และการรักษาโรค
“เส้น” ในความหมายของแพทย์แผนจีน จึงมีความหมายเกี่ยวกับเส้นลมปราณ ซึ่งมีแนวทางการเดินที่แน่นอน
ดังนั้น “เส้น” ในความหมายดังกล่าว ก็คือ ความสัมพันธ์ของโรคอวัยวะภายใน สามารถสะท้อนความผิดปกติออกมาที่บริเวณแขน ขา ลำตัว ศีรษะ ความผิดปกติที่ส่วนนอก แขน ขา ลำตัว ศีรษะ ก็สามารถมีผลกระทบต่อโรคภายในหรืออวัยวะภายในได้
เส้นลมปราณในความหมายที่แท้จริงเป็นอย่างไร ไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนในทางวิทยาศาสตร์ ในแพทย์แผนจีนบอกเพียงว่า มีหน้าที่ลำเลียงขนส่งเลือดและพลังลมปราณไหลเวียนไปยังอวัยวะภายใน และส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
เส้นทางเดินของเส้นลมปราณหลักมี 12 เส้น ดังนี้
- เริ่มจากอวัยวะในร่างกายบริเวณทรวงอก ออกสู่ภายนอกมาที่แขนด้านในมี 3 เส้นหลัก ไปสิ้นสุดบริเวณปลายนิ้วมือ
- จากปลายนิ้วมือเดินทางผ่านมือ แขน หัวไหล่ ด้านนอกไปสิ้นสุดบริเวณศีรษะและใบหน้ามี 3 เส้นหลัก (มีเส้นแยกแขนงเชื่อมกับอวัยวะภายใน)
- จากศีรษะเดินทางมาด้านข้าง ศีรษะ ลำตัว มายังขาด้านข้างหรือด้านหลังไปบริเวณเท้า 3 เส้นหลัก (มีเส้นแยกแขนงเชื่อมกับอวัยวะภายใน)
- จากเท้าเดินทางมาตามขาด้านในผ่านหน้าท้อง (มีแขนงเชื่อมกับอวัยวะภายใน) เข้าบริเวณทรวงอก นอกจากนั้น ยังมีเส้นที่วิ่งผ่านกลางลำตัวด้านหน้าและด้านหลังอีกรวม 2 เส้น